เช่น
ระบบนี้ มีผู้ใช้ 3 คน กำหนด บิต 0 แทนด้วยข้อมูล +1 โวลท์ และ บิต 1 แทนด้วยข้อมูล -1 โวลท์ ให้นำข้อมูลมา XOR (เหมือนกันได้ 0 ต่างกันได้ 1) กับ PN Code เพื่อเข้ารหัสข้อมูลก่อนจะส่งไป ซึ่งเป็นหลักการของ Spread Spectrum โดยเทคนิค DSSS ที่ได้กล่าวมาแล้ว
ข้อมูลผู้ใช้ 1 เมื่อรวมกับ PN Code ได้ผลลัพท์เป็น XOR D1
ข้อมูลผู้ใช้ 2 เมื่อรวมกับ PN Code ได้ผลลัพท์เป็น XOR D2
ข้อมูลผู้ใช้ 3 เมื่อรวมกับ PN Code ได้ผลลัพท์เป็น XOR D3
ข้อมูลที่ได้จากการ XOR ของทุกคน จะถูกเอามารวมกันได้เป็น Composite waveform เดียว ที่ฝั่งข้อมูลของผู้ใช้ 3 คนแล้ว ซึ่ง Composite waveform นี้เอง คือสัญญาณที่ส่งไปยังผู้รับ หากต้องการถอดรหัสข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคน สามารถใช้ PN Code ของผู้ใช้คนนั้น ในการถอดรหัสต้นฉบับออกมาได้ ดังนี้
นำ Composite waveform มาคูณกับ Code ในแต่ละบิต และหาผลรวมของแต่ละบิตข้อมูล จากนั้นให้หารด้วยจำนวนบิต ก็จะได้ค่าโวลท์ที่เป็นข้อมูลเริ่มต้น สามารถแปลงโวลท์ ที่ได้เพื่อหาบิตข้อมูลได้
ทำกระบวนการเดียวกัน สำหรับผู้ใช้คนที่ 2 และ 3
เบื้องหลังการทำงาน
เนื่องจากการนำบิตมาเข้ารหัส โดยทดสอบให้บิต 0 มีค่าเป็น 1 โวลท์ และ บิต 1 มีค่าเป็น -1 โวลท์ ค่าของผลคูณของโวลท์ จะมีค่าเทียบเท่ากับการทำ XOR ที่ใช้ DSSS
แต่ถ้ากำหนดบิต 0 เป็น -1 โวลท์ และ บิต 1 เป็น 1 โวลท์ เมื่อนำมาคูณกัน ผลคูณจะเทียบเท่ากับ XNOR เพื่อให้สอดคลองกับการทำงานของ DSSS ที่ใช้ PN Code ไป XOR กับข้อมูล ในการทดลองอันนี้ จึงกำหนดค่าของบิต 0 เป็น 1 โวลท์ และ บิต 1 เป็น -1 โวลท์แทน
ถ้าหารเรานำ PN Code ทั้งหมด มาคูณกันแล้วบวกกันทั้งหมดจะเห็นได้ว่าผลรวมสุดท้ายจะมีค่าเป็น 0 เนื่องจากว่า PN Code ของทุกผู้ใช้ที่รวมกันจะต้องหักล้างกันหมด หรือที่เรียกว่า ออโทกอแนล (Orthogonal) กัน ถ้าไม่หักล้างกันพอดี ก็จะไม่สามารถใช้ PN Code ในการเรียกข้อมูลที่ผสมเข้าไปของแต่ละคนออกมาได้
ทดลองกำหนดข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคนอยู่ในรูปของตัวแปร d1, d2 และ d3 จะเห็นได้ว่าข้อมูลเมื่อนำมาคูณกันและบวกทั้งหมด หลังจะสามารถถอดค่าของข้อมูลดังเดิมตามตัวอย่างนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น