วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2551

Prefecture #2

วันนี้เป็นวันอังคาร หลังจากยุ่งยากกับการเตรียมเอกสารสำหรับทำ Carte de sejour ให้ แฟน และไปเที่ยว Montpellier ที่พี่ชาย เรียนอยู่ เสร็จแล้ว ก็เตรียมตัวจะไปส่งเอกสาร เพราะคิดว่าวันนี้คนคงจะไม่เยอะเหมือนวันจันทร์ พอไปถึงที่นั่นเวลา 9.30 น. คนแถวก็ประมาณสัก 15 คนเห็นจะได้ เออคิดว่าไม่น่าจะยืนรอนาน แต่ไป ๆ มา ๆ ผ่านไป 1 ชม. แถวเพิ่งขยับไปนิดหน่อยเอง แล้วคนก็มารอต่ออีกพรึบ ผมก็เลยลองจับเวลาดู ก็ได้ค่าเฉลี่ย ของการ Service 1 คน ใช้เวลาประมาณ 10 - 15 นาที โอ้ แบบนี้ มีคนก่อนหน้าผมประมาณ 15 คนก็ รอประมาณ 3 ชม. สิครับเนี่ย -_-"

แล้วผมก็ลองมองย้อนไปข้างหลัง โอ้ เดี๋ยว 12.0o น. ก็พักเที่ยงแล้ว เปิดให้บริการอีกทีก็ 14.00 แล้วก็ปิดทำการ 15.00 แล้วไอคนที่อยู่ข้างหลังมันจะได้ทำทันได้ยังไงกันเนี่ย?

และแล้ว โชคก็เข้าข้าง มีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาตรวจสอบว่าใครเอกสารครบแล้วบ้าง ก็ให้บัตรคิว (แซงคิวนั่นเอง) ไปนั่งข้างในเพื่อรอทำ Carte de sejour ได้เลย ปรากฎว่า ผมได้บัตรคิวด้วยแฮะ ลัดคิวไปได้ประมาณ 5 คน (ก็หลาย ชม. อยู่นะ) เสร็จแล้วก็ส่งเอกสาร เจ้าหน้าที่ขอดูเอกสารตัวจริงด้วย แต่ผมเอาไปแค่บางอย่าง เค้าก็ O.K. ไม่ถึงกับ serious มาก (แต่เอาไปหมดปลอดภัยกว่านะ) จากนั้นก็ Print บัตร Carte de sejour ชั่วคราวให้ เย้... ในที่สุดก็ได้แล้ว เดินออกมาจาก Prefecture

ก่อนออก มองดูแถวที่ยาว ๆ แล้วน่าสงสารคนที่ไปยืนเข้าแถวจัง ไอองค์กรห่วย ๆ แบบนี้ เมื่อไหร่มันจะปรับปรุงสักทีนะ แต่คนที่บริการข้างใน ที่เป็นคนทำ Carte de sejour เค้าคุยดีนะ แต่ไอการบริหารจัดการขององค์กรเนี่ยแหละ ห่วยแตกมาก ๆ ให้คนมายืนรอเสียเวลา > 3 ชม. เพื่อส่งเอกสาร บ้าไปแล้ว ของผมโชคดี รอแค่ ชม. กว่า ๆ ถึงจะอ้างว่าไม่อยากให้คนเข้าประเทศฝรั่งเศสเยอะ ๆ ก็เหอะ ก็น่าจะใช้วิธีการบริหารจัดการวิธีอื่น ไม่ใช่ ใช้วิธีมาให้รอคิวยาว ๆ เสียเวลาทำการทำงานหมด เก็บเงินค่าทำ carte de sejour ก็ 275 ยูโร ( หมื่นกว่าบาท) ไม่ใช่ถูก ๆ นะเนี่ย เอาไปจ้างคนตรวจเอกสารให้มันเยอะกว่านี้หน่อยไม่ได้ (หรือไงวะ?) :(

และก็ผ่านไปด้วยประการเช่นนี้ครับ ขอบ่นหน่อย ยังแหลงฝรั่งเศสไม่ชัด บ่นใน blog แทนไปก่อน ฮ่า ๆ ๆ

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2551

เหตุผลสำหรับแฟน (French Language)

เวลาเขียนขอ VISA ให้แฟน เพื่อที่จะไปอยู่ประเทศฝรั่งเศสด้วยกัน มันช่างคิดประโยคที่สวยหรู ที่เป็นภาษาฝรั่งเศส ยากจริง ๆ ผมก็เลยไปถามเพื่อนที่อยู่ใน LAB ด้วยกัน ได้ความว่าดังนี้ครับ

Renseignements concernant le séjour en France
Pour quelles raisons demandez-vous un titre de séjour en France:


=>
Pour des raisons de regroupement familliale, mon époux M. Warodom WERAPUN fait ses études en France et poursuivre son doctorat ici.

คำแปล ลองไปใส่ใน translation.google.com ก็จะทราบเองครับ

นอกจากใช้ขอ VISA แล้ว ยังต้องใช้ เวลาไปขอ Carte de sejour ด้วยครับ
(อย่าลืมเปลี่ยนชื่อผมด้วยละ) ^_^

[ เข้าประเทศฝรั่งเศสเมื่้อ 06/09/2008 - 06 sep 2009 ]
ขอบันทึกไว้หน่อย เพราะกรอกทีไร ลืมวันเข้าประเทศต้องไปหาจากตั๋วเครื่องบินทุกที

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551

คำถามจาก อ.โก้ เกี่ยวกับเอกสารไปฝรั่งเศส

วันนี้ผมไปจัดการเอกสารที่ CROUS ที่ว่าต้องแก้จาก doctorat เป็น master 2 recherche เสร็จพอดี เหนื่อยเหมือนกันเสร็จแล้วก็แวะไปซื้อผ้าห่มแบบนวม ราคา 55 ยูโร แก้หนาวต่อ พอดีมัน sale จาก 80 ยูโร แหนะครับบางยี่ห้อ ขายตั้ง 419 ยูโร ผ้าบ้าอะไรวะ 2 หมื่นกว่าบาท -_-" จากนั้นก็มาอ่าน email ก็เจอคำถามที่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับคนอื่น ๆ ที่อาจสงสัยคล้าย ๆ กัน เลยขอ มา post ไว้ที่นี่ละกันนะครับ

2008/9/17 Chakkrit P <pchakkrit at gmail.com>
สวัสดี..เปิ้ลพอดีวุ่นๆ อยู่หลายอย่าง วันนี้เริ่มเตรียมเรื่องเอกสารที่จะต้องนำไป เลยนึกขึ้นได้อยากถามเกี่ยวกับเอกสารที่ต้องนำไปหน่อยน่ะ

1. เอกสารที่แปลเป็นภาษาฝรั่งเศสนั้นจะต้องมีการประทับตราจากสถาทูตรับรองอีกหรือไม่?ผมให้ทางคณะอักษรศาสตร์จุฬาเป็นคนแปล และตอนนี้มีการปั๊มตรารับรองจากจุฬาแล้ว

ถ้าที่อักษรจุฬา เค้าผ่านการรับรอง จากสถานฑูต ในการแปลเอกสารแล้ว ก็คงไม่น่าจะมีปัญหานะครับ ลองถามที่ จุฬาดูอีกทีครับ แต่ผมคิดว่าคงได้ เพราะถ้าเค้าไม่ผ่าน การรับรอง เค้าคงไม่รับแปลให้ครับ อีกอย่างถ้าไม่ได้แปลจากสมาคมฝรั่งเศสที่นี่ เค้าก็ไม่ปั้มตราให้อยู่แล้วครับ นอกจากว่าจะแปลใหม่กับเค้า และก็จ่ายเงินใหม่ครับ


2. การไปยื่นเอกสารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ CROUS,มหาวิทยาลัย ฯลฯ ต้องใช้ตัวจริงทั้งหมดมั้ย?ถ้าถ่ายเอกสารไปได้หรือไม่?

เผื่อความปลอดภัยควรนำตัวจริงมาด้วยครับ ผมก็เอาตัวจริงมาทั้งหมดครับ แต่ก็นั่นแหละ เวลายื่นเอกสาร ยังไม่เห็นที่ไหนใช้ตัวเอกสารตัวจริงเลย (นอกจาก passport) และ เอกสารตัวจริง ของเราส่วนมากเป็นภาษาไทย ให้เค้าดูไปเค้าก็ดูไม่รู้เรื่องหรอก ขนาดภาษาอังกฤษยังจะพูดกันไม่ค่อยจะได้ ไม่ต้องนึกถึงภาษาไทยเลยครับแบบนี้


3. ปกติที่โน้นเขาต้องมีการเซ็นต์สำเนาถูกต้องเหมือนบ้านเรามั้ย ?

มีครับ ใช้คำว่า "lu et apprové" แต่เอกสารที่เราส่งไปส่วนมากก็ไม่ต้องรับรองทั้งหมดครับ เวลาเขียนประโยคนี้ ส่วนมากใช้ในกรณี เปิดบัญชี ธนาคาร กับทำ carte de sejour ซึ่งเราเขียนในเอกสารที่เค้าจะส่งมาให้เรากรอก ไม่ใช่เอกสารที่เราเตรียมไปครับ


4. บัตรประชาชน, บัตรข้าราชการ (ตัวจริง) จำเป็นต้องนำไปด้วยหรือไม่?

ไม่ใช้เลยครับ (เพราะว่าเป็นภาษาไทย) แต่ผมว่า นำติดตัวมาดีกว่า มันก็ไม่ได้หนักมาก เผื่ออาจจะใช้ในอนาคต ครับ


5. transcript ที่เป็นภาษาอังกฤษ จำเป็นต้องนำตัวจริงไปด้วยหรือไม่?

ใช้ครับ ทั้ง transcript + ใบรับรองปริญญาที่เป็นภาษาอังกฤษ (อย่าลืม เอาของ ป. ตรี มาด้วยนะครับ) ใกล้จะมาเต็มที่แล้ว ตื่นเต้นมั้ยครับ ช่วงนี้มีคำถามอะไรก็ถามมาได้เลยนะครับ ผมมีห้องใช้ internet ส่วนตัวแล้ว

ช่วงนี้ อากาศเริ่มหนาวแล้วนะครับ (แต่ฝนไม่ค่อยตก) อย่าลืมเสื้อหนาว ถุงมือ ถุงเท้า ซักชุดพกติดตัวมาก่อนแล้วค่อยไปหาของดี ๆ ที่นี่เวลามัน sale ถ้าซื้อราคาเต็มแพงเอาเรื่องเหมือนกันนะครับพวก brand name ดี ๆ ราคาเป็นหมื่นกว่าบาท แต่เวลา sale เหลือประมาณ 1-2 พันบาทเองผมเลยแนะนำว่าเตรียมมาสักชุด ระหว่างรอซื้อของ sale ครับ

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2551

Prefecture #1 + EDF

วันนี้ ผมได้ไปทำ carte de sejour หลังจากได้เอกสารบางส่วนมาเพิ่มเติม ไปที่ prefecture โอ้ คนเยอะ สมคำล่ำลือจริง ๆ คิวยาวมาก แม่ง คนรับเอกสารมีอยู่คนเดียว แต่เนื่องจากผมเป็นนักเรียนทุนของ CROUS ผมก็เลยต้องไปทำ carte de sejour ที่ CROUS แทน โดยนัดทาง internet แล้วก็ไปทำ ก็รอไม่นานมาก เพราะนัดแล้ว ยังดีนะที่เจ้าหน้าที่พอ parle anglais ได้บ้าง ไม่งั้นก็ลำบาก คุยไม่ค่อยรู้เรื่องอีก

หลักฐานที่ผมใช้ตอนทำ carte de sejour ของ นร. ทุน CROUS มีดังนี้
- รูปถ่าย 2 นิ้ว 3 รูป
- ใบแปลสูติบัตร
- ใบทุนของ CROUS
- ใบตอบรับจากมหาวิทยาลัย หรือ บัตร นร.
- ใบแปลแต่งงาน
- สำเนาวีซ่า
- สำเนาพาสปอร์ต
- อากรแสตมป์ (เค้าเรียกว่า timbre) ซึ่งไปซื้อที่ได้ที่ร้าน tabac อยู่ใกล้ ๆ กัน ราคา 55 ยูโร
- ใบเสร็จค่าไฟฟ้า (หรือ EDF ที่ผมเคยเล่าก่อนหน้านี้นี่เอง) เพิ่งมาอยู่มันจะมี บิลนี้ ได้ยังไงว่ะ? แต่อันนี้เค้าอนุโลมให้ แค่เอาหลักฐาน สัญญาเช่า ไปแทนก่อนได้


เมื่อทำเสร็จแล้ว ผมก็ได้ carte de sejour แบบชั่วคราว (จำชื่อเรียกไม่ได้แฮะ) ซึ่งจะมีอายุประมาณ 3 เดือน จากนั้น ภายใน 3 เดือนนี้แหละ เค้าจะ นัดผมอีกครั้ง เพื่อให้ไปตรวจสุขภาพ และ รับ carte de sejour ตัวจริง ๆ แทน ตอนนี้ก็รอไปก่อน

วันพรุ่งนี้ ผมคงต้องไป Prefecture ที่ไม่ได้อยู่ใน CROUS ที่คนรอเยอะ ๆ โดยต้องไปรับเอกสารมากรอกก่อน แล้วค่อยไปส่งอีกที ได้ข่าวว่าต้องรอกันเป็น 10 ชั่วโมงเลย คงได้นอนหน้า prefecture แน่ มันก็ไม่ได้คิดจะปรับปรุงนะ คงเป็นเพราะไม่อยากให้คนเข้าประเทศมันเยอะ ๆ มั้ง? :-(

หลังจากนั้นก็ได้ไปที่ EDF เพื่อไปเปลี่ยนบัญชีค่าไฟฟ้า
โดยให้มันตัดที่บัญชีธนาคารของผมเอง แทนที่จะไปตัดบัญชี ของรุ่น พี่ โดยให้มันตัดบัญชี ในวันที่ 24 ของ ทุก ๆ เดือน ซึ่งเค้าจะมีการคำนวนค่าไฟฟ้าแต่ละเดือนให้คร่าว ๆ โดยตัดเงินในบัญชีเราตามที่ประมาณการไว้ ซึ่งใช้หลักการว่าถ้าใช้ไฟเกิน ก็จะตัดตามจริง แต่ถ้าใช้ไฟ ไม่ถึง ก็จำทำเรื่องคืนเงินให้เมื่อสิ้นปี (ทำไม ไม่คืนให้ในเดือนต่อไปเลยวะเนี่ย ?) แต่มาอยู่บ้านเมืองเค้า ใช้ระบบแบบนี้ก็ต้องตามน้ำไปละครับ

สรุปตอนนี้ก็เรียบร้อยไปหลายอย่างแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือ
- Carte de sejour ของ แฟน
- Internet & Telephone กำลังหาข้อมูลอยู่ ระหว่าง Free Box, Neuf, Orange etc. ใครสนใจ ISP เจ้าไหน ลองดูข้อมูลจาก
http://www.adsl-facile.com/ เปรียบเทียบได้เยอะดี
- CAF สำหรับ refund ค่าบ้าน ผมคงได้ 50% มั้ง เพราะไม่ได้ทำงาน รุ่นพี่บอกว่าต้องกรอกให้ดี ๆ โดยบอกว่าเป็น นร. ทุน CROUS และ แฟน ไม่ได้ทำงาน จะได้ refund คืนมาเยอะ
- ติดต่อลงทะเบียนเรียน Master 2 recherche ( เตรียม ปริญญาเอก) + เรียนภาษาฝรั่งเศสฟรี

- นำจดหมายจาก Professor ไปให้เจ้าหน้า CROUS เนื่องจากผมต้องเรียน Master ก่อน แต่ในทุน CROUS ให้เป็น Doctoral แทน ไม่รู้ว่า CROUS จะออกให้หรือเปล่า ถ้าได้ก็ดี ประหยัดเงิน ไปประมาณ 2 หมื่นกว่าบาท ถ้าเรียนจบได้ ผมได้ทั้ง Master & Ph.D. เลยนะเนี่ย :-)

อ้อ วันก่อนลืมบอกไปว่า LMDE ที่ CROUS ทำให้ วงเงินประกันสูงสุดเลย ว่าง ๆ ไปขูดหินปูนฟรีเล่นดีกว่า

ไว้แค่นี้ก่อนแล้วกัน แล้วจะกลับมาเล่าอีกทีนะครับ

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2551

ว่าด้วยเรื่อง VISA Schengen ล่าช้า

สำหรับใครที่จะเดินทางมาฝรั่งเศส (โดยเฉพาะนักเรียนทุนทั้งหลาย) ผมขอเอาเรื่องราว ของ อ. โก้ มาเล่าให้ฟังนะครับ

อ. โก้ เล่าว่า

ผมต้องเลื่อนการเดินทางครับ
เพราะด้วยความที่ไม่ค่อยเข้าท่าของสถานฑูตครับผมทำวีซ่าไปเดือนหนึ่งเต็มๆ แล้ว
ตอนทำเค้าก้อบอกว่าเสร็จแล้วจะรีบโทรมาบอกผมโทรไปหลายครั้งมาก
แต่ก็ไม่เคยมีใครรับสายเลย มีแต่เครื่องตอบรับ

ตอนแรกจองตั๋วไว้เดินทางวันศุกร์ที่ 12
ผมเลยเมล์ไปถามว่าตกลงแล้ววีซ่าผมมีปัญหาอะไรมั้ย ก้อไม่มีการตอบมาอีก ตอนบ่ายๆ
วันที่ 11 ผมเลยตัองตัดสินใจเลื่อนตั๋วไปก่อนเพราะว่าเลื่อนได้ไม่เกิน 4 โมงเย็น
ผมรอจนถึงวินาทีสุดท้ายเลยเลื่อนตั๋วไปอีกหนึ่งสัปดาห์(เผื่อว่าวีซ่าควรจะเสร็จได้)
พอตก 5 โมงเย็น ผมได้รับเมล์จากสถานฑูต บอกว่าพรุ่งนี้(12 กย) ให้มารับวีซ่าได้ช่วง
14.00-15.30 น
ผมงี้เซ็งไปเลย ให้ผมไปรับบ่ายสองแล้วก็วันสุดท้ายเนี้ยน่ะ
ผมต้องเช็คอินประมาณหกโมงด้วย
คิดว่าตัดสินใจถูกแล้วล่ะที่เลื่อนตั๋ว
เพราะผมก็ไม่อยากรีบต้องไปเอาวีซ่า แล้วต้องรีบๆ
ไปที่สนามบินอีก
ไม่รู้น่ะว่าคนอื่นๆ จะเหมือนกับผมมั้ย
เพราะตอนทำวีซ่าผมก็บอกชัดเจนแล้วว่าผมต้องเดินทางวันไหน และผมขอก่อน 1
เดือนเต็มเลย ซึ่งมันควรจะต้องเสร็จแล้ว

สรุปแล้วผมออกเดินทางจาก กท วันที่ 19 กยครับ ถึง Monpellier
20 กย ประมาณบ่ายโมง


ปัญหานี้เป็นปัญหาที่สำคัญด่านแรก ผมขอแนะนำว่าควรขอ visa ล่วงหน้าก่อนประมาณ 3 เดือนจะปลอดภัยที่สุดครับ เพราะยิ่งยื่นช้า จองตั๋วเครื่องบินช้า ราคาก็ยิ่งแพง ยิ่งลำบากด้วยครับและผมพาแฟนไปด้วย ทำให้ไม่แน่ใจว่า วีซ่าแฟนจะผ่านด้วยหรือเปล่า? และที่สถานฑูตติดต่อยากจริง ๆ ครับ โดยทั่วไปแล้ว visa ระยะยาวจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ของผมได้ visa ก่อนเดินทางจริง ๆ ประมาณเกือบ 2 เดือนเลยครับ ส่วน พี่ชายผมได้วีซ่าก่อนวันเดินทางจริง 1 วันครับ ได้ลุ้นเหมือนกัน

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551

สิ่งที่จำเป็นต้องทำเมื่อมาถึงฝรั่งเศส

1. แน่นอนว่าต้องไปหา Professor ก่อน ^_^
2. เปิดบัญชีธนาคาร ต้องเปิด 2 บัญชี คือ บัญชีออมทรัพย์กับบัญชีสำหรับบัตรเครดิต ค่าบริการก็ 6 ยูโร ต่อเดือน
3. ติดต่อ CROUS ขอประกันสุขภาพ กับ ยกเว้นค่าลงทะเบียน ถ้ามาถึงฝรั่งเศสช่วงนี้คนเยอะมาก เลยต้องนัดวันมาคุยอีกที
4. ติดต่อ CAF สำหรับขอ Refund ค่าหอพักคืน ได้ประมาณ 50% เลยนะ
5. ติดต่อ Tele France สำหรับขอให้ปล่อยสัญญาณคู่สายโทรศัพท์ (ทุกห้องในฝรั่งเศสจะมีคู่สายโทรศัพท์อยู่แล้ว เพียงแต่ตัดสัญญาณไว้)
6. ติดต่อ Free Box สำหรับ internet + VoIP เพื่อโทรฟรีไปเมืองไทย จริง ๆ แล้วมีหลายยี่ห้อ แต่ยี่ห้อนี่คุ้มที่สุด เพราะมี promotion โทรฟรีด้วย
7. ติดต่อทำบัตร metro + bus เป็นบัตรสีฟ้า ๆ ของ Tisso ราคา นศ. (แถวยาวมาก ๆ)
8. ติดต่อ Prefecture สำหรับ Carte de sejour อันนี้สำคัญมาก
9. นัดเจ้าของหอพักจ่ายเงินทำสัญญาอยู่ห้องพัก (Contrat)
10. LMDE ทำประกันสุขภาพ (ให้แฟนผม) โดยนำเอกสารจาก CROUS เพื่อขอประกันสุขภาพ (Securite Sociale) ได้ฟรีซะด้วย ดีจังเลย
11. EDF ค่าไฟฟ้าสำหรับบ้านของเรา ใบนี้สำคัญมาก เวลาที่แฟนผมจะไปขอ carte de sejour คงต้องใช้ใบนี้เป็นหลักฐานแสดงที่อยู่ที่เราอยู่จริง ๆ เพราะ contrat ที่ทำกับเจ้าของบ้านอย่างเดียวใช้ไม่ได้ -_-"

ก่อนไปทุกที่แนะนำว่าควรหาล่ามที่พูดภาษาฝรั่งเศสไปด้วยนะครับ ไม่งั้น คุยกันลำบากแน่ ๆขนาดเจ้าหน้าที่ธนาคารเค้ายังพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้เลยครับ แล้วจะมา update รายละเอียดเพิ่มอีกที

เรื่อง Visa ของฝรั่งเศส

ผมขอ visa มาฝรั่งเศสโดยใช้ passport ราชการ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม visa (ประมาณ 5,000 บาท) และเข้าออกประเทศได้สะดวกกว่าใช้หลักฐานน้อยกว่า ก็เลยได้ visa เป็น type Services ทีนี้ เวลาติดต่อสายการบิน มีหลายแห่ง บอกว่า Type ประเภทนี้ ซื้อตั๋วราคา นักเรียนไม่ได้ แต่ก็ได้บริษัท Jupiter Venture ขายตั๋วให้ผมในราคา นักเรียนได้ ( 30,600 บาท BKK -> Paris ถ้าราคาปรกติจะอยู่ที่38,100 บาท) แถมผมยังได้ตั๋วจาก CDG -> TLS ในราคาเพียง 3,050 อีกด้วย โชคดีจริง ๆ

ส่วนของแฟนได้ visa เป็น type visiter ตอนแรกก็เครียดอยู่นาน เพราะ ได้ข้อมูลมาจากหลาย ๆ ที่ว่า visa visiter มันซื้อตั๋ว one-way ไม่ได้ เนื่องจาก การที่จะซื้อตั๋วแบบ one-way นั้น type ของ visa จะต้องเป็น นักเรียน/ทำงาน/ผู้ติดตาม เท่านั้น ก็เลยหาข้อมูลจากหลาย ๆ ที่ก็พบว่า visiter นี่แหละ คือ type ผู้ติดตามแล้ว ตอนแรก ผมเข้าใจว่าเป็น type ท่องเที่ยว ถ้าเป็นแบบนั้น ซื้อตั๋ว one-way ไม่ได้แน่นอน
type ของ visa เท่าที่เคยเจอตอนนี้มี

non-professional => ท่องเที่ยว (ได้ตอนขอ visa ระยะสั้น)
services => ราชการ
etudiant => นักเรียน
visiter => ผู้ติดตาม

แล้วใช้ ชนิดของ visa มันจะมี type ย่อย ๆ ด้วยนะ
ถ้าเป็น type C แสดงว่า เป็นแบบ tourism
แต่ถ้าเป็น type D แสดงว่า อยู่ได้นาน แบบนี้ทำ carte de sejour ได้

เวลาขึ้นเครื่องแนะนำให้หาพวกกระเป๋ากระสอบที่แม่ค้าขายของใส่ จะประหยัดน้ำหนักได้มากตอนที่ขึ้นเครื่องผมไปกับแฟน load น้ำหนักไป 65 kg. ไม่โดนเก็บเงินค่า load เลยแฮะดีจังแต่ตอนลงสนามบิน เนื่องจาก taxi ราคาแพง ก็เลยนั่งรถเมล์ ไอกระเป๋าที่ไม่มีล้อเนี่ย หนักโคตร ๆ เลย